สรุปบทความ
การสอนลูกเรื่องแรงโน้มถ่วง (Teaching Children about Gravity) หมายถึง การจัดกิจกรรมให้เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้เกี่ยวกับแรงที่โลกกระทำต่อวัตถุทุกชิ้น ดึงวัตถุในทิศทางเข้าสู่ศูนย์กลางของโลก ทำให้วัตถุยึดติดกับพื้นโลก มิให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนผิวโลกหรือบรรยากาศของโลกหลุดลอยไปในอากาศได้ ทั้งนี้ เด็กปฐมวัยมีนิสัยสงสัยใคร่รู้เป็นโดยธรรมชาติ การที่เด็กมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว และเกิดเรื่องราวให้ชวนคิด ชวนให้สงสัยมีมากมาย รวมทั้งคำถามว่า “อะไรที่ทำให้เรายืนอยู่บนพื้นโลกได้โดยไม่ปลิวหายไปในอากาศ” และ “มีใครบ้างที่อยู่ใต้พื้นโลก เขาหล่นหายไปหรือไม่” คำถามของเด็กมีคำ ตอบ แต่หากผู้ใหญ่บอกเล่าเพียงให้เด็กทราบว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะโลกมีแรงโน้มถ่วงการบอกเช่นนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะเด็กบอกไม่เห็นแรงโน้มถ่วง แต่หากเด็กได้มีโอกาสตรวจสอบเรื่องนี้จากกิจกรรมง่ายๆ ที่ครูหรือพ่อแม่จัดให้เด็กได้กระทำ จนเกิดเป็นความเข้าใจในเหตุและเห็นผลสอดคล้องกัน จะเป็นการส่งเสริมความคิด ทัศนคติที่ดีและเกิดทักษะที่จำเป็นในการแสวงหาความรู้ต่อๆไปอีกให้แก่เด็ก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เด็กเรื่องแรงโน้มถ่วงจึงเป็นเรื่องหนึ่งที่เด็กปฐมวัยควรเรียนรู้
การเรียนรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงเป็นสาระการเรียนรู้ที่ใช้เป็นสื่อกลาง เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยให้เกิดคุณภาพตามจุดมุ่ง หมายของหลักสูตรการศึกปฐมวัย ประโยชน์ที่เด็กพึงได้รับคือการได้พัฒนา ความรู้ ประสบการณ์ เจตคติและทักษะ กระ บวนการในการแสวงหาความรู้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตสืบต่อไปในอนาคต
การจัดกิจกรรมเรื่องแรงโน้มถ่วง ครูจัดกิจกรรมให้แก่เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้และสนใจโดยการคำนึงถึงจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาเด็กให้เกิดสิ่งสำคัญคือ เกิดความรู้ ความเข้าใจในข้อความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เข้าใจถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์ เด็กจะมีความเฉลียวฉลาดที่จะเห็นความสัมพันธ์ของธรรมชาติและสิ่งต่างๆรอบตัว มีความคิดที่จะแก้ปัญหา เกิดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ เช่น เกิดความสนใจและความชื่นชอบในสาระความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อีกทั้งการตระหนักรู้ถึงคุณค่าและโทษของแรงโน้มถ่วงที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน และนำความรู้ไปใช้ที่จะดูแลรักษาตนเองได้ตามวัย ส่วนสาระสำ คัญที่ครูกำหนดให้เด็กได้รับ คือ แรงโน้มถ่วงดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่าง
นอกจากการจัดกิจกรรมหลักทั้งหกตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยแล้ว การจัดประสบการณ์แบบไม่เป็นทางการให้แก่เด็ก จะเกิดประโยชน์ที่เด็กจะเรียนรู้ตามสภาพจริง เช่น เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่เด็กประสบกับตนเอง อาจจะวิ่งหกล้ม ทำแก้วพลัดหล่น ขว้างปาลูกบอลเล่นกระดอนไปแล้วตกลงพื้นดิน การเดินลงบันไดง่ายกว่าการขึ้นบันได เราจะรู้สึกเหนื่อยที่เดินขึ้นบันได แตกต่างจากการเดินลงที่ถึงพื้นรวดเร็วและเหนื่อยน้อยกว่าขึ้นบันไดฯลฯ จากเหตุการณ์เหล่านั้น ครูชี้แนะให้เด็กสังเกตและร่วมคิด ร่วมสนทนา เด็กจะเข้าใจได้ไม่ยาก สิ่งสำคัญครูควรใช้ภาษาง่ายๆอธิบายบอกเล่าให้เด็กรู้ เช่น ลูกบอลหล่นลงดินเพราะโลกเรามีแรงดึงดูดไว้ เราไม่เห็นแรงนี้ แต่เรารู้สึกและเห็นจากสิ่งต่างๆได้
ไอแซก นิวตัน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เป็นผู้ค้นพบเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก ไอแซก นิวตัน เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1642 ที่วูลส์ธอร์พแมนเนอร์ ท้องถิ่นชนบทแห่งหนึ่งในลินคอล์นเซียร์ นิวตันเป็นนักศึกษาทุนที่เรียนดีของวิทยาลัยทรินิตี้ เคมบริคจ์ นิวตันได้สังเกตการหล่นของผลแอปเปิลลงสู่พื้นดิน ทำให้เกิดคำถามอยู่ในใจของนิวตันว่า แรงของโลกที่ทำให้ผลแอปเปิลหล่น น่าจะเป็นแรงเดียวกันกับแรงที่ “ดึง” ดวงจันทร์เอาไว้ไม่ไปที่อื่น และทำให้เกิดโคจรรอบโลกเป็นวงรี ส่วนดาวเคราะห์อื่นๆเคลื่อนที่ไปในอวกาศที่ไม่มีอากาศ จึงเคลื่อนที่โดยความเร็วคงที่ ไม่ฝืด มีทิศทางเป็นเส้น ตรง
การเรียนรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงเป็นสาระการเรียนรู้ที่ใช้เป็นสื่อกลาง เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยให้เกิดคุณภาพตามจุดมุ่ง หมายของหลักสูตรการศึกปฐมวัย ประโยชน์ที่เด็กพึงได้รับคือการได้พัฒนา ความรู้ ประสบการณ์ เจตคติและทักษะ กระ บวนการในการแสวงหาความรู้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตสืบต่อไปในอนาคต
การจัดกิจกรรมเรื่องแรงโน้มถ่วง ครูจัดกิจกรรมให้แก่เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้และสนใจโดยการคำนึงถึงจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาเด็กให้เกิดสิ่งสำคัญคือ เกิดความรู้ ความเข้าใจในข้อความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เข้าใจถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์ เด็กจะมีความเฉลียวฉลาดที่จะเห็นความสัมพันธ์ของธรรมชาติและสิ่งต่างๆรอบตัว มีความคิดที่จะแก้ปัญหา เกิดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ เช่น เกิดความสนใจและความชื่นชอบในสาระความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อีกทั้งการตระหนักรู้ถึงคุณค่าและโทษของแรงโน้มถ่วงที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน และนำความรู้ไปใช้ที่จะดูแลรักษาตนเองได้ตามวัย ส่วนสาระสำ คัญที่ครูกำหนดให้เด็กได้รับ คือ แรงโน้มถ่วงดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่าง
นอกจากการจัดกิจกรรมหลักทั้งหกตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยแล้ว การจัดประสบการณ์แบบไม่เป็นทางการให้แก่เด็ก จะเกิดประโยชน์ที่เด็กจะเรียนรู้ตามสภาพจริง เช่น เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่เด็กประสบกับตนเอง อาจจะวิ่งหกล้ม ทำแก้วพลัดหล่น ขว้างปาลูกบอลเล่นกระดอนไปแล้วตกลงพื้นดิน การเดินลงบันไดง่ายกว่าการขึ้นบันได เราจะรู้สึกเหนื่อยที่เดินขึ้นบันได แตกต่างจากการเดินลงที่ถึงพื้นรวดเร็วและเหนื่อยน้อยกว่าขึ้นบันไดฯลฯ จากเหตุการณ์เหล่านั้น ครูชี้แนะให้เด็กสังเกตและร่วมคิด ร่วมสนทนา เด็กจะเข้าใจได้ไม่ยาก สิ่งสำคัญครูควรใช้ภาษาง่ายๆอธิบายบอกเล่าให้เด็กรู้ เช่น ลูกบอลหล่นลงดินเพราะโลกเรามีแรงดึงดูดไว้ เราไม่เห็นแรงนี้ แต่เรารู้สึกและเห็นจากสิ่งต่างๆได้
ไอแซก นิวตัน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เป็นผู้ค้นพบเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก ไอแซก นิวตัน เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1642 ที่วูลส์ธอร์พแมนเนอร์ ท้องถิ่นชนบทแห่งหนึ่งในลินคอล์นเซียร์ นิวตันเป็นนักศึกษาทุนที่เรียนดีของวิทยาลัยทรินิตี้ เคมบริคจ์ นิวตันได้สังเกตการหล่นของผลแอปเปิลลงสู่พื้นดิน ทำให้เกิดคำถามอยู่ในใจของนิวตันว่า แรงของโลกที่ทำให้ผลแอปเปิลหล่น น่าจะเป็นแรงเดียวกันกับแรงที่ “ดึง” ดวงจันทร์เอาไว้ไม่ไปที่อื่น และทำให้เกิดโคจรรอบโลกเป็นวงรี ส่วนดาวเคราะห์อื่นๆเคลื่อนที่ไปในอวกาศที่ไม่มีอากาศ จึงเคลื่อนที่โดยความเร็วคงที่ ไม่ฝืด มีทิศทางเป็นเส้น ตรง